เพื่อช่วยควบคุมการใช้น้ำและพลังงานอย่างชาญฉลาด ตัวอย่างเช่น ระบบที่สามารถปิดการจ่ายน้ำอัตโนมัติเมื่อเกิดการรั่วไหล หรือการแจ้งเตือนผู้ใช้งานเมื่อการใช้น้ำเกินกว่าปริมาณที่ตั้งค่าไว้ การทำงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับอนาคต โฟลมิเตอร์ยังสามารถพัฒนาไปสู่การทำงานร่วมกับระบบที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการจัดเก็บข้อมูล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยในการจัดการข้อมูลที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
กล่าวได้ว่าโฟลมิเตอร์ไม่ใช่เพียงอุปกรณ์วัด
แต่เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในทุกมิติของการพัฒนา ตั้งแต่การสนับสนุนการผลิต การบริหารทรัพยากร ไปจนถึงการสร้างความยั่งยืนในระดับโลก ด้วยความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง โฟลมิเตอร์จึงเป็นเครื่องมือที่ทุกอุตสาหกรรมและองค์กรควรพิจารณาเป็นส่วนสำคัญของระบบการดำเนินงานในยุคที่เทคโนโลยีและความยั่งยืนมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในอนาคต
โฟลมิเตอร์ยังคงมีบทบาทสำคัญในโลกที่กำลังก้าวสู่ยุคแห่งนวัตกรรมและการเชื่อมโยงที่ไม่มีขีดจำกัด ความสามารถของโฟลมิเตอร์ในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และระบบการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการไหลเวียนของของเหลวและก๊าซในระบบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ระบบเหล่านี้ช่วยตรวจจับแนวโน้มความผิดปกติและสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยในระบบ
อีกมิติหนึ่งที่โฟลมิเตอร์มีความสำคัญมากขึ้นคือ
การสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในภาคอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม การวัดการใช้น้ำ การปล่อยน้ำเสีย และการไหลของก๊าซในกระบวนการผลิต ช่วยให้โรงงานสามารถออกแบบและปรับปรุงกระบวนการที่ลดของเสียและการใช้งานทรัพยากรที่เกินจำเป็น ตัวอย่างเช่น การบำบัดน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้โฟลมิเตอร์สามารถควบคุมกระบวนการฟอกน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกับการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่
ในด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) โฟลมิเตอร์จะเป็นส่วนสำคัญในการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การบริหารจัดการเครือข่ายน้ำประปาและระบบชลประทานของเมืองใหญ่ โฟลมิเตอร์สามารถช่วยในการติดตามการใช้น้ำของประชากรในแต่ละพื้นที่แบบเรียลไทม์ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปรับปรุงการจัดการทรัพยากรน้ำและพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยลดการสูญเสียทรัพยากรผ่านการตรวจจับการรั่วไหลในระบบท่อ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เก่าแก่